วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557

โปรแกรมที่ช่วยสำรอง Driver

วันนี้ (หมายถึงวันที่เขียน  ^^) เรามา Review โปรแกรมที่ช่วยสำรอง Driver ให้เรานั้นสามารถใช้งาน Computer ได้อย่างสมบูรณ์ ในการลง Driver ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใดแต่ก็ไม่ได้ราบรื่นทุกครั้งไปกรณีมีแผ่นกลัวลืมแผ่นก็ใส่เครื่องไว้ พอมีแล้วติดว่ามันช้า ลง Deiver ไม่ทันใจ เลย Back up ไว้ พอ Back up ก็ติดว่าต้องลง Software ที่เรา Back up มันไว้ก่อนถึงจะคืนค่า Dirver ได้ สิ่งที่ “ติด” กันนั้นแปลเป็นไทยว่า ทำให้ขี้เกียจ Software หลายต่อหลายตัวจึงได้ออกแบบให้ผู้ใช้สามารถทำกระบวนการดังกล่าวได้ในไม่กี่ คลิก รวมถึง Software ตัวนี้ด้วย Driver Magician
จาก Icon ประหนึ่งว่าเป็นหมวกนักมายากล (ไถลนึกไปถึงพ่อมดแห่ง Oz ) และตะเกียบของวาทยากร วางไว้คู่กัน
พอเปิดโปรแกรม ตัวโปรแกรมจะมองหารายการ Driver ที่มีอยู่ ให้เลือก Non Microsoft ตามรูป เพราะตัวอื่นจะมาเองกับแผ่น Windows
เลือกตัวที่จะเอา (ควรจะเอา Non Microsoft ทั้งหมด ) และ Start Backup ไว้ที่ Folder ที่เราต้องการ
รอจนเสร็จเป็นจบกระบวนการ
ส่วนการคืนค่าจะเลือก Restore From Folder แล้วไปที่เราเก็น Back up Files ไว้
 
เลือกตัวที่จะคืนค่า (ควรจะคืนหมด) และเริ่มคืนค่าได้เลย รอจนเสร็จจะโดนถามว่าให้ดับเครื่องแล้วติดใหม่ (Reboot ^^) ก็ใจเย็นปิดโปรแกรมก่อนก็ได้ โดยกระบวนการนี้สำเร็จในไม่กี่ Click
และยังมีอีกวิธีที่สามารถ Restore ตัว Driver พร้อมกันทั้งหมดด้วย EXE File  ตัวเดียวโดยไม่ต้องลงโปรแกรมเพื่อคืนค่าแบบวิธีแรก
Driver Magician จึงเป็นหนึ่งตัวที่น่าจะมีเก็บไว้

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Intel ประกาศทำศึกกับ Nvidia Tesla ด้วย Intel Xeon Phi Coprocessor 60 Core!!!


หลังจากปล่อยให้ Nvidia Tesla ทำตลาดอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่นาน (AMD FirePro มีเหมือนไม่มี) ในที่สุดทาง Intel ก็ประกาศเปิดตัว Intel Xeon Phi Coprocessor ภายใต้โคตเนม Knights Corner พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของสถาปัตยกรรมใหม่ MIC (Many Integrated Core) ขนาดกระบวนการผลิต 22 นาโนเมตร 3D Tri-Gate ทรานซิสเตอร์ และมี Core ในการประมวลผลมากกว่า 50 Core แต่ละ Core จะมี L1 Cache 64 KB พร้อมด้วย L2 Cache 512 KB นอกจากนี้ในแต่ละ Core ยังมีถึง 4 Thread ด้วยกัน


Intel ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายหลักของ Intel Xeon Phi Coprocessor ไปที่คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง (HPC) และ Super Computer โดยภายในงานมีการเปิดตัว Intel Xeon Phi Coprocessor ตระกูล 3100 และ Intel Xeon Phi Coprocessor 5110P ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

Intel Xeon Phi Coprocessor ตระกูล 3100 จะเน้นไปที่ประสิทธิภาพต่อราคาเป็นหลัก โดยมี 57 Core ให้พลังในการประมวลผลอยู่ที่ 1 TFlops (Double Precision) มาพร้อมกับหน่วยความจำ 6 GB Bandwidth 240 GB/s กินไฟประมาณ 300 W ราคาอยู่ที่ 2,000$ (ราวๆ 61,000 บาท) เริ่มวางจำหน่ายช่วงครึ่งปีหน้า
Intel Xeon Phi Coprocessor 5110P จะเน้นไปที่ประสิทธิภาพต่อพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไปเป็นหลัก โดยมี 60 Core ให้พลังในการประมวลผลอยู่ที่ 1.011 TFlops (Double Precision) มาพร้อมกับหน่วยความจำ 8 GB GDDR5 Bandwidth 320 GB/s กินไฟประมาณ 225 W ราคาอยู่ที่ 2,459$ (ราวๆ 75,000 บาท) วางจำหน่ายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ปีหน้า


หมายเหตุ : ทั้ง Intel Xeon Phi Coprocessor ตระกูล 3100 และ 5110P รองรับ ECC Memory


ตัวที่มีพัดลมคือ Intel Xeon Phi Coprocessor ตระกูล 3100
ตัวที่ไม่มีพัดลมคือ Intel Xeon Phi Coprocessor 5110P

Intel ตระหนักดีว่าตลาด Super Computer มากกว่า 91% กำลังอยู่ในกำมือ (Super Computer ที่แรงที่สุดในโลก 500 อันดับแรกใช้ Processor ของ Intel มากถึง 75%) และการปล่อยชิพรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดจะต้องเป็นประโยชน์ทั้งกับลูกค้ารายใหม่และลูกค้ารายเก่า Intel Xeon Phi Coprocessor จึงถูกออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับ Intel Xeon E5 ได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้ Super Computer ที่ใช้ Intel Xeon E5 อยู่แล้วสามารถนำ Intel Xeon Phi Coprocessor มาเสริมทัพ เพิ่มประสิทธิภาพให้มากยิ่งขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องนำของเก่าไปทิ้ง นอกจากนี้ผู้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้การใช้งาน Intel Xeon Phi Coprocessor ใหม่ เพราะโปรแกรมที่พวกเขาใช้กับ Intel Xeon E5 จะทำงานร่วมกับ Intel Xeon Phi Coprocessor ได้ทันที (ทำให้ Intel มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวใหม่จะไม่ล้มเหลวเหมือนกับ AMD FirePro อย่างแน่นอน)


ที่มา (เนื้อหาข่าวปนๆกันนะคับ)
www.theregister.co.uk
www.techpowerup.com
www.intel.com

วิวัฒนาการของผู้ใช้Windowsตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

      Windows ถือเป็นระบบปฎิบัติการบน Computer ของ Microsoft ตัวแรกๆ ที่เราๆท่านๆ รู้จักและคุ้นเคยกันมาช้านาน ระบบปฎิบัติการชนิดนี้ ได้ทำคุณประโยชน์ต่อวงการ Computer มาเป็นอย่างมากดังนั้นวันนี้เรามาย้อนอดีตกันถึงวิวัฒนาการของผู้ใช้Windowsตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันกันดีกว่าครับ

 1985 - Windows 1.0  เป็น OS แบบ 16 bit ที่มี GUI ตัวแรกของ Microsoft โดยออกวางขายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1985 วางขายในรูปแบบของ Floppy Disk โดยผู้ใช้ต้องลง DOS ก่อนถือเป็นครั้งแรกของโลกที่รู้จักระบบปฎิบัติการณ์นี้
 1998 – Windows 98 เป็น OS ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของ Microsoft ออกมาในวันที่ 24 สิงหาคม 1995 เริ่มแยกตัวออกจาก DOS แล้ว (นิยมการเก็บข้อมูลในรูปแบบของ Floppy Disk เป็นอย่างมาก)
 2000 – Windows 2000  วางเป้าหมายไว้ที่กลุ่มผู้ใช้ด้วนธุรกิจ,Notebook,และ Server โดยออกวางขายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2000 มีออกมาทั้งหมด 4 รุ่น คือ Professional, Server, Advanced Server และถือว่าเป็นสหัสวรรษใหม่เลยทีเดียว ( จุดเริ่มต้นของ MSN/Google )
 2001 – Windows XP  ออกวางขายวันที่ 25 ตุลาคม 2001 ซึ่งขายได้มากกว่า400ล้านชุดได้รับความนิยมสูงมาก และครองตลาดอยู่นานมากๆ จนเรียกได้ว่า OS ของComส่วนใหญ่ในโลกนี้เป็น Windows XP โดย Windows XP นั้นเน้นการใช้งานส่วนบุคคล ชื่อ XP มาจากคำว่า Experienceและมาพร้อมกับ Internet Explorer 6 ที่ไม่มีวันตาย
 2007 – Windows Vista วางขายในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2006 พร้อมกับเสียงก่นด่านับไม่ถ้วน ตั้งแต่เรื่องกินสเปค ทำงานช้า Error บ่อย ไม่ Support โปรแกรมเก่าๆ ฯลฯ ถึงแม้จะมีการออก Service Pack มาแก้ปัญหาถึง 2 ตัว จนมันทำงานได้ดีแล้ว แต่ชื่อ Windows Vista ก็จะถูกจดจำไปอีกนานในฐานะ Windows ที่ล้มเหลวที่สุดของ Microsoft ( ทั่วโลกเริ่มรู้จัก Facebook/Youtube )
 2009 – Windows 7 จากความล้มเหลวใน Vista ทำให้ Microsoft แก้ตัวใหม่Windows 7 ก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่ออกวางจำหน่ายในวันที่ 29 ตุลาคม 2009 โดยคาดว่าในอีกไม่นาน Windows 7 จะมาเป็น OS หลักสำหรับ PC แทนที่ Windows XP ที่จะมีอายุครบ 10 ปี (การเข้ามาของ Twitter)
 2012 Windows 8 เปิดตัวเมื่อเดือน ตุลาคม 2012 สิ่งที่ทำให้ Windows 8 แตกต่างอย่างชัดเจนกับWindowsรุ่นก่อนหน้านี้คือ การออกแบบมาเพื่อให้ทำงานครอบคลุมทุกPlatforms ไม่ว่าจะเป็นบนTablet,Laptop และDesktopที่สำคัญคือ Windows 8 ได้ถูกออกแบบมาสำหรับจอTouch screen และจะเป็นครั้งแรกที่ระบบปฏิบัติการWindowsจะทำงานด้วยระบบประมวลผล ARM ซึ่งMicrosoftคาดหวังไว้ว่าในอนาคตจะช่วยกระตุ้นยอดขายTablet  Computerซึ่งปัจจุบันยังเป็นรองAppleอยู่


แหล่งที่มา : www.freemake.com                                                                      
                http://goo.gl/y81yj
                https://www.facebook.com/Pasit.CRM

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบ Firewall กับ IPS


Firewall กับ IPS หลายคนกําลัง ตัดสินใจว่าจะซื้อตัวเดียวหรือทั้ง 2 ตัวดี ทั้งนี้เพราะทั้ง 2 ตัวต่างทําหน้าที่คล้ายคลึงกัน แต่หากจะเปรียบเทียบความแตกต่างก็พอจะมีให้เราใช้เป็นข้อมูล ในการตัดสินใจ ดังนี้

ความสามารถของ Firewall
        จริง ๆแล้ว อุปกรณ์ทั้ง 2 ตัว ทําหน้าที่คล้าย ๆ กัน แต่ที่แตกต่างกันออกไปนั้นคือ
Firewall ทําหน้าที่รักษาความปลอดภัยของระบบในระดับหนึ่ง (เบื้องต้น)

ขีดความสามารถของ firewall ทั่วๆไปนั้นมีดังต่อไปนี้
- ป้องกันการ login ที่ไม่ได้รับอนุญาตที่มาจากภายนอกเครือข่าย
- ปิดกั้นไม่ให้ traffic จากนอกเครือข่ายเข้ามาภายในเครือข่ายแต่ก็ยอมให้ผู้ที่อยู่ภายในเครือข่าย
สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้
- เป็นจุดรวมสําหรับการรักษาความปลอดภัยและการทํา audit (เปรียบเสมือนจุดรับแรงกระแทก
หรือ "choke" ของเครือข่าย)
ข้อจํากัดของ firewall
ข้อจํากัดของ firewall มีดังต่อไปนี้
- firewall ไม่สามารถป้องกันการโจมตีที่ไม่ได้กระทําผ่าน firewall (เช่น การโจมตีจากภายใน
เครือข่ายเอง)
- ไม่สามารถป้องกันการโจมตีที่เข้ามากับ application protocols ต่างๆ (เรียกว่าการ
tunneling) หรือกับโปรแกรม client ที่มีความล่อแหลมและถูกดัดแปลงให้กระทําการโจมตีได้
(โปรแกรมที่ถูกทําให้เป็น Trojan horse)
- ไม่สามารถป้องกัน virus ได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากจํานวน virus มีอยู่มากมาย จึงจะเป็น
การยากมากที่ firewall จะสามารถตรวจจับ pattern ของ virus ทั้งหมดได้
ถึงแม้ว่า firewall จะเป็นเครื่องมือที่สามารถนํามาใช้ป้องกันการโจมตีจากภายนอกเครือข่ายได้
อย่างมีประสิทธิภาพ การที่จะใช้ firewall ให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้นจะขึ้นอยู่กับนโยบายความ
ปลอดภัยโดยรวมขององค์กรด้วย นอกจากนี้ แม้แต่ firewall ที่ดีที่สุดก็ไม่สามารถนํามาใช้แทน
การมีจิตสํานึกในการที่จะรักษาความปลอดภัยภายในเครือข่ายของผู้ที่อยู่ในเครือข่ายนั้นเอง
แต่ Firewall ก็อาจจะไม่สามารถกันพวก Worm, Malware, Virus บางตัว ได้ ดังน้ันจึงเกิด IPS
ขึ้นมา ซึ่งคอยช่วยอุปกรณ์อื่นๆ ในการตรวจจับเวิร์ม ไวรัส การจู่โจมระบบ DOS และอาการผิดปกติต่างๆ ซึ่งส่งผลร้ายในระดับต่างๆ การสร้างความรําคาญเล็กๆ น้อยๆจนถึงขั้นก่อความ
เสียหายต่อธุรกิจระดับ ปานกลางจนถึงขั้นรุนแรง

 ในปัจจุบันได้มีการนํา IDS ซึ่งเกิดก่อน IPS (พัฒนามาจาก IDS) และ IPS มาทํางาน
รวมกันเพราะว่า ทั้ง IDS และ IPS นั้นต่างมีข้อดีแตกต่างกันในคนละบทบาทหน้าที่ แต่กลยุทธ์ที่ดี
ที่สุดในการรักษาความปลอดภัยก็คือ รวมเอาเทคโนโลยีทั้งสองเข้ามาทํางานด้วยกัน เพื่อช่วย
ป้องกันความปลอดภัยให้กับเครือข่ายได้อย่างครอบคลุมที่สุด โดยข้อดีของการผสมผสานทั้งสอง
สถาปัตยกรรมเข้าไว้ด้วยกัน ก็คือ
1. ป้องกันก่อนเกิดปัญหา
 การป้องกันการแพร่ของมัลแวร์บนโลกอินเทอร์เน็ตของ IPS นั้นสามารถทําได้แบบ
เรียลไทม์ แม้จะไม่ได้ผลแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ว่าการกรองการโจมตีตั้งแต่ต้นก็ช่วยรักษา
สินทรัพย์ทางข้อมูล ป้องกันความเสียหาย และรักษาความปลอดภัยให้กับไฟล์ รวมถึงข้อมูลใน
องค์กรหลักๆ ได้เป็นอย่างดี
2. ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ได้ดีกว่า
 การที่ IPS บล็อกหรือกันไม่ให้ malicious code เข้ามาในระบบนั้น ช่วยลดโหลด
อุปกรณ์อื่นๆ เช่น ไฟร์วอลล์ และ แอนตี้-ไวรัสเกตเวย์ให้ทํางานน้อยลง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
โดยรวมของระบบเครือข่ายได้ดี อีกทั้งยังช่วยให้องค์กรไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการ
อัพเกรดอุปกรณ์และเพิ่มแบนด์วิธให้มากขึ้นอีกด้วย
3. เพิ่มความสามารถในการตรวจสอบปัญหาด้านความปลอดภัยที่ไม่เคยพบมาก่อน
 หลายครั้งที่ประเด็นด้านความปลอดภัยมักเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของคอนฟิก และ
ความผิดพลาดของบุคลากรในองค์กรเอง ไม่ใช่เพียงเพราะไวรัสหรือหนอนอินเทอร์เน็ตเพียงอย่าง
เดียว ซึ่งการทํางานร่วมกันของ IDS และ IPS สามารถช่วยลดข้อผิดพลาดดังกล่าวได้
4. แกะรอยข้อมูล

      ในขณะที่ IPS นั้นทําการกรองแพ็กเก็ตที่ผิดปกติ IDS ยังทํางานต่อด้วยการ Capture
และเก็บข้อมูลสําหรับการวิเคราะห์ความปลอดภัยของเครือข่าย ซึ่งการทําเช่นนี้จะช่วยให้
พนักงานไอที หรือแอดมินไม่ต้องวุ่นวาย หรือปวดหัวกับการจ้องระบบอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้
เกิดความเสียหายในระบบจากการบุกรุกของผู้ไม่ประสงค์ดีเหล่านั้น
ง่ายเลย IPS เก่งกว่า firewall
คือ firewall มันดูแค่การ block IP หรือ port คือ deep-inspect ได้แค่ layer 3,4 แต่ IPS จะดูได้ถึง layer 7 คือมันจะมี signature หรือ pattern ของ layer 7 's protocals
ต่างๆเอาไว้ inspect traffic ถ้าไม่ตรงก็อาจ drop หรือ แจ้ง log แล้วแต่ตามที่ config ไว้ เช่น
firewall allow port 80 ให้เข้ามาได้ และ traffic ก็ผ่าน firewall มา ถ้ามี IPSตัว IPS ก็จะ
inspec traffic อีกทีดูว่า port 80 เป็น pattern ของ web หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็อาจ drop หรือ
logging

       แต่ถ้าสมมุติ traffic มาด้วย port 80 เป็นการ request web จริงๆ เพราะฉะนั้น ก็ผ่าน
ทั้ง firewall และ IPS ทีนี้ทําไงถ้ามันเป็นการยิง DDOS ก็อาจมีอุปกรณ์อีกตัวมาป้องกันพวก
DDOS attack เหล่านี้เช่น cisco guard หรือ IPS บางตัวก็อาจตั้ง threshold ของ protocol
แต่ละตัวได้

       "ถ้าถามว่าแล้วจะมี firewall ไว้ทําไม ก็ตอบว่า firewall เป็นเหมือนทหารเลวด้านหน้า
กันข้าศึกโง่ๆออกไปก่อน เพราะฉะนั้น firewall ก็จะโง่ ๆ แต่ทน ๆ ถึก ๆ ส่วน IPS ก็แน่นอน
เนื่องจากมันต้อง deep-inspection เยอะ ต้องใช้พลังวัฒน์ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นเหล่าขุนพล
จํานวนน้อยที่ผ่าน firewall มาแล้วก็จะโดนฆ่าด้วย IPS นั่นเองครับ"

                          

มาแอบดูต้นตระกูลและสายพันธุ์ของ Linux กัน ว่ามีอะไรบ้าง?

ปัจจุบันได้มีการนำระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ไปประยุกต์เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับงานด้านต่างๆเช่นงานด้านการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ใช้เป็นสถานีงาน สถานีบริการ อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต หรือใช้ใน การเรียนการสอนและการทำงิจัยทางคอมพิวเตอร์ใช้พัฒนาโปรแกรมเนื่องจาก มีเครื่องมือมากมาย เช่น โปรแกรมภาษาซี (C) ซีพลัสพลัส (C++) ปาสคาล (Pascal) ฟอร์แทรน (Fortran) ลิสป์ (Lisp) โปรล็อก (Prolog) เอดา (ADA) มีภาษาสคริปต์ เช่น เชลล์ (Shell) บาสช์เชลล์ (Bash Shell) ซีเชลล์ (C Shell) คอร์นเชลล์ (Korn Shell) เพิร์ล (Perl) พายตัน (python) TCL/TK
นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมประยุกต์ในสาขาต่างๆ อีกมากมาย โดยข้อมูลของโปรแกรมเหล่านี้ได้รวบรวมไว้ที่ Linux Software Map (LSM)
- Linux Distribution
ที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทย ได้แก่ Slackware ,Redhat และ Mandrake
- Linux Distribution
ที่พัฒนาขึ้นโดยคนไทย ได้แก่ Kaiwal , ZiFF , SIS , Linux TLE 4.0
- Linux Distribution 
อื่น ๆ ได้แก่ Caldera OpenLinux , Debian GNU/Linux , S.u.S.E

Linux distribution
มาจากสาย Debian
debian
ubuntu
knoppix
มาจากสาย Redhat
redhat
fedora
pclinuxos
mandriva
centos
มาจากสาย Slackware
slack ware
opensuse

มาจากสาย พัฒนาแนวทางตัวเอง
Gentoodamn
small Linux
puppy Linux

Debian Linux
คือ ระบบปฎิบัติที่ตั้งแต่ขั้นตอนทำตัวติดตั้ง ปรับแต่งซอฟต์แวร์ ทำด้วยบุคคลที่เป็นอาสาสมัครล้วนๆ โดยมีคติว่า Debian จะฟรีตลอดไปและการพัฒนาก็จะเป็นไปอย่างเปิดเผย มีการเปิดให้ดาวน์โหลดโปรแกรมกันฟรี แต่ข้อเสียของ Debian ก็คือ การลง Debian นั้นยากมากมันเป็น Linux สำหรับพวกเซียนๆทั้งหลายที่ไม่อะไรทำ เพราะต้องมานั่งปรับเดสก์ทอปให้เหมาะกับการใช้งานเอง จากข้อเสียตรงนี้ทำให้มีหลายๆบริษัทเอาข้อเสียไปปรับแต่งให้ดีขึ้น ก็เป็นอะไรที่น่าใช้ไปอีกแบบหนึ่ง
ข้อเด่นของ Debian ก็คือ โปรแกรมต่างๆสามารถที่จะติดตั้งได้โดย Download ได้จากเน็ทโดยอัตโนมัติ Ubuntu ทำการ Update โปรแกรมเหล่านี้ให้ทันสมัย โดยใช้ Concept เดียวกับ Debian

Ubuntu

คือกลุ่มของคนที่พัฒนาระบบปฏิบัติการ เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งที่เป็นเครื่องแบบผู้ใช้งานทั่วไป (Client) หรือแบบเครื่องแม่ข่าย (Server) เหมาะกับผู้ใช้ตามบ้าน และโรงเรียนที่ไม่ต้องการมีค่าใช้จ่ายเรื่องซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ โดยมีการรวมเอาโปรแกรมประยุกต์ประเภทเวิร์ด หรือเพาเวอร์พอยต์ อินเทอร์เน็ต ไว้ด้วย

KNOPPIX
คือ Linux ที่รันบนแผ่น CD เริ่มโดยการตั้ง Bios ให้บูตด้วยแผ่น CD เมื่อบูตเข้าไปแล้วตัว KNOPPIX ก็จะทำการรัน Linux ขึ้นมาใช้งานได้ในทันที โดยระบบของ KNOPPIX จะสามารถ Dectect การ์ดจอ การ์ดเสียงและอุปกรณ์ต่างๆ ได้ทันที เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการติดตั้ง Linux ลงบนเครื่อง แต่อยากลองใช้งาน ก็สามารถใช้ผ่าน CD Rom ได้

RedHat Linux
เป็นลีนุกซ์ดิสทริบิวชั่นที่ ได้รับความนิยมสูงทั้งในอเมริกาและเมืองไทย จุดเด่นของ RedHat คือมีโปรแกรม RPM (RedHat Package Management) ช่วยติดตั้ง-ถอดแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เวอร์ชัน 7.x ใช้เคอร์เนล 2.4.18 สามารถใช้งานภาษาไทยได้อย่างดี

Fedora
คือ Linux distribution ตัวหนึ่ง ที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก Redhat เวอร์ชั่น 9 Fedora ถูกพัฒนามาให้แตกต่างจาก Redhat โดย Fedora มีจุดมุ่งหมายที่จับกลุ่ม Desktop User ที่เน้นการทำงานที่ง่าย และเข้าใจไม่ยาก Fedora จะใช้ชื่อรุ่นของตัวเองว่าเป็น Core ซึ่งปัจจุบันก็ได้พัฒนามาถึง Core 4 แล้ว

PCLinuxOSนี้เป็น Linux สายพันธ์ Mandriva ที่เน้นการทำงานแบบ Live CD สำหรับ 2007 นี้ใช้ Kernel 2.6.18.8, KDE 3.5.6, Xorg 7.1.1 และโปรแกรมอื่นๆ ก็เป็นตัวที่ใหม่ๆ ทั้งนั้นครับ (มี Beryl มาให้ด้วย !!!) นอกจากนี้ยังมีระบบ Synaptic ที่ไว้คอยจัดการเรื่องการโปรแกรมต่างๆ (เหมือน Ubuntu) แต่เป็น RPM มาให้พร้อมครับ สำหรับ Driver แบบ Proprietary นั้นตัว Live CD ไม่มีมาให้ครับ แต่ว่าลงเองได้เหมือนกัน

Mandriva One
เป็น LiveCd ที่เป็น OS สามารถบูทส์และทำงานได้จาก CD โดยตรงโดยไม่ต้องมีการติดตั้งก่อนและไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรต่อระบบ ที่ทำงานอยู่ แต่ถ้าผู้ใช้ต้องการจะติดตั้งลงในฮาร์ดดิสก็สามารถทำได้เช่นกัน จุดเด่นของ Mandriva คือ"Mandriva Control Center" ประกอบไปด้วย urpmi package managementที่ใช้ในการจัดการเรื่องติดตั้ง ย้ายออกอัพเดทเป็นต้นและระบบการจัดการกับกราฟิค รวมถึง nspluginwrapper ซึ่งยอมให้ x86-32 plugins สามารถใช้ได้กับ x89-64 browser และยังมี transfugdrake ที่ออกแบบมาสำหรับการเคลื่อยย้ายข้อมูลและการติดตั้งMicrosoft Windows ไปยัง Linux
pclinux พัฒนามาจาก mandriva เหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา mandrake หรือ mandriva นั้นก็เคยพัฒนามาจาก redhat แล้วพัฒนาสายพันธ์ตัวเอง จนกลายเป็นเส้นทางของตัวเองไปในที่สุด และ pclinux ก็ใช้ mandriva เป็นพื้นฐานซึ่งก็ไม่แน่ว่า ต่อไป pclinux กำลังจะเดินทางไปในหนทางของตัวเอง ซึ่งตรงนี้ก็ต้องดูกันต่อไป สำหรับ mandriva นั้น ก็มีลีนุกซ์หลาย ๆ ตัวอยู่เหมือนกันที่ใช้ mandriva เป็นฐาน สำหรับ mandriva นั้น มีตัว คอนโทรล เป็นของตัวเอง ซึ่งใช้ง่ายและ ครอบคลุมการปรับแต่งมากทีเดียว ทั้ง desktop และ server อีกทั้งการใช้งานในภาษาไทย ก้สามารถที่จะใช้ได้ดีพอสมควร และ mandriva ก็สนับสนุนภาษาต่าง ๆ มานาน และก็พัฒนาอยู่ตลอด ครับ และที่แน่ ๆ

CentOSเป็น Linux ในระดับ Enterprise ที่มีเป้าหมายหลักในเรื่องของความ stable เพื่อให้ใช้กับงานในระดับองค์กร CentOS แตกต่างจาก Linux ตัวอื่นๆ ที่ค่อนข้างจะมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยและมักจะใส่ feature ที่ยังไม่ stable ลงไป ดังนั้นการที่ CentOS โฟกัสในเรื่องของความ stable จึงทำให้ผู้ใช้งานสามารถมุ่งความสนใจลงไปในเรื่องของ application โดยลดความกังวลในส่วนของ Operation System ลงไป CentOS ถูกพัฒนาต่อมาจาก source code ที่ได้รับการเปิดเผยโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ Enterprise Linux เจ้าหนึ่งในอเมริกาเหนือ กำลังหลักของทีมพัฒนาประกอบขึ้นด้วยผู้เชี่ยวชาญ และความสนับสนุนจาก community ต่างๆ ทั้งด้าน system admin, network admin, enterprise user, manager, core Linux contributors
Slackware
เป็นลินิกซ์ตัวแรกๆ ของโลกที่ผลิตมาเพื่อขาย ประวัติของ Slackware คือ บริษัทขายซีดีทางอินเทอร์เน็ตชื่อว่า วอลนัท ครีก ได้รวบรวมโปรแกรมต่างๆ ที่ใช้งานบนลินิกซ์มาใส่ซีดีขาย เจ้า Slackware นี้มีจุดเด่นตรงความเรียบง่ายของมัน ที่ไม่ค่อยมีอะไรแปลกๆ ใส่มาเหมือนยี่ห้ออื่น แต่ข้อเสียของมันก็คือ เรียบง่ายเกินไป ทำให้ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้หน้าใหม่เท่าไรนัก การลงโปรแกรมจะต้องคอมไพล์เอง ไม่มีระบบแพกเกจแบบ RPM มาให้ เหมาะกับผู้ที่มีความรู้ด้านลินิกซ์อยู่พอสมควรเลย ปัจจุบันออกถึงเวอร์ชัน 9.0

OpenSuSE
SuSE เป็น Desktop Linux ที่มีต้นกำเนิดจากเยอรมัน เดิมนั้นทำออกมาขาย(ราคาไม่แพงเท่า win) แต่ตอนนี้แยกออกมาให้ใช้ฟรีภายใต้ชื่อ OpenSuSE เคยอ่านเจอว่า Linus Torvalds ผู้คิดค้น Linux kernel และไอเดียที่นำ Linux มา OpenSource ก็ใช้งานดิสทริบิวชั่นนี้เป็น SuSE อีก Edition หนึ่ง ที่มี novell เป็นสปอนเซอร์ แต่ไม่ซับพอร์ต โดยผู้ที่ซับพอร์ต กลับเป็นผู้ใช้ SuSE เอง ชื่อกลุ่ม SuSE community เรียกว่าดูแลกันเอาเองว่างั้นเถอะ ซึ่งรับประกันได้ว่ามันจะเป็นของฟรี ไปตลอดกาล เพราะมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาน้อย นอกจากนี้ยังมี SLED (SuSE Linux Enterprice Edition)

Gentoo Linux
เป็น Source based distribution ใช้ระบบจัดการแพกเกจชื่อ portage (ยัง) ไม่มีตัวติดตั้งแบบ Graphics ต้องติดตั้งโดย Command Line พัฒนาขึ้นครั้งแรกโดย Daniel Robbins ปัจจุบัน Gentoo Foundation ออกใหม่ปีละ 4 รุ่น การนับรุ่น จะใช้รูปแบบ – 2005.0, 2005.1, 2005.2, 2005.3
จุดเด่น สามารถ Optimize ให้เหมาะกับเครื่องที่รัน เช่น k6, pentium4, athlonxp สามารถปรับแต่งระบบให้เหมาะกับการใช้งาน การอัพเดทแพกเกจค่อนข้างทันสมัย portage เขียนด้วย python ทำางานได้เร็วกว่าports ของ FreeBSD ซึ่งใช้ make มีการพอร์ตไปหลายระบบเช่น ia64, x86_64,ppc, alpha เป็นต้น
จุดด้อย การติดตั้งทำาได้ช้า เนื่องจากต้องดาวน์โหลดซอร์สและคอมไพล์ทั้งระบบ (ทางออก: เลือกการติดตั้งแบบ stage2,stage3 และใช้package สำเร็จ) การติดตั้งต้องใช้ความชำานาญสูง คือต้อง fdisk, mkfs,mount,tar และอื่นๆ ด้วยตัวเอง (ทางออก: กำาลังพัฒนาตัวติดตั้งแบบกราฟิกส์และไดอะล็อก) ต้องใช้เน็ตเวิร์คความเร็วสูงเพื่อดาวน์โหลดซอร์สโค้ด (ทางออก: ใช้ getdelta ช่วยดาวน์โหลดเฉพาะส่วนที่เปลี่ยนไป) ต้องใช้เครื่องกำาลังสูงๆ เพื่อคอมไพล์

Damn small Linux
ไม่ต้องอธิบายมากสำหรับ Linux ตัวนี้ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น Linux ขนาดเล็ก เล็กยังไงเหรอ คำตอบก็คือใช้พื้นที่ขนาดเล็ก กิน Resource น้อย ขนาด Boot จาก Flash Drive , หรือใช้ได้แม้ CPU 486 Ram 16 MB ยังได้เลย


Puppy Linux
เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ลีนุกซ์เป็นแกนการพัฒนา แต่ว่าผู้พัฒนาตั้งใจว่าจะให้มีขนาดไม่ใหญ่มากนักและมีอินเตอร์เฟซที่สวยงาม น่ารัก จึงตั้งชื่อว่า Puppy อันหมายถึงน้องหมาหรือลูกหมา ขนาดของมันก็ต้องเล็กสมชื่อ เอาเป็นว่าในเวอร์ชั่นล่าสุดคือ Puppy Linux Dingo 4.0 มีขนาดไฟล์ .iso ให้ดาวน์โหลดอยู่ประมาณ 89 Mb ครับ ไม่ต้องเอาไปเทียบกับวินโดวส์ครับเพราะผิดกันเยอะ แต่ Puppy Linux ของเรามีโปรแกรมมาให้ใช้งานครบทุกด้าน โดยที่ติดมากับแพคเกจมาตรฐานมีทั้งเวิร์ดโปรเซสเซอร์ สเปรดชีท กราฟิก มัลติมีเดีย และโปรแกรมด้านการใช้งานอินเตอร์เนตด้านต่างๆครบ อีกอย่างคือ Puppy Linux นั้นสื่อสารกับผู้ใช้ด้วยกราฟิกอินเตอร์เฟสเหมือนกันกับวินโดวส์ แถมดีกว่าวินโดวส์ตรงที่ Puppy Linux รู้จักอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์มากกว่าเสียด้วย
จุดเด่นอีกประการหนึ่ง ของ Puppy Linux คือความเร็วในการทำงานที่เหนือกว่าวินโดวส์ครับ ด้วยชนาดที่เล็กมากทำให้สามารถใส่มันไว้ในอุปกรณ์เก็บข้อมูลสารพัดแบบอย่าง แฟลชไดรว์ ซิปไดรว์ แผ่นซีดีรอม ฟลอปปี้ดิสก์ เพื่อนำไปใช้งานได้สบายๆ ส่วนสำคัญที่สุดคือ "ฟรี" ตัวระบบปฏิบัติการและแอพลิเคชั่นต่างๆของ Puppy Linux อยู่บนพื้นฐานของ Open Source ทำให้คุณไม่ต้องไปละเมิดลิขสิทธิ์ใครโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ

* โดนใจคุณไม๊ละครับ ...ทีนี้ก็เลือกใช้งาน Linux ได้อย่างถูกต้องตรงใจแล้ว

วิธีติดตั้ง และใช้งาน SSH บน CentOS (Linux)

Secure Shell (SSH) คือ Protocol ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการเชื่อมต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ภายในระบบเครือข่าย (Network) เพื่อการทำงานบนเครื่องนั้น ๆ ซึ่ง SSH นั้นจะมีความปลอดภัยในการใช้งานเนื่องจากมีการเข้ารหัสข้อมูลในระหว่างการสื่อสาร ซึ่งจะไม่เหมือนกับ rlogin, TELNET หรือ rsh ซึ่งจะมีปัญหาในด้านความปลอดภัย


สรุปรายละเอียดของ Secure Shell (SSH)
1. ใช้สำหรับการเชื่อมต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ที่อยู่บนระบบเครือข่าย เพื่อการทำงานบนเครื่องนั้น ๆ 
2. SSH ใช้ Port 22 เป็นค่า Default
3. SSH มีการเข้ารหัสข้อมูลระหว่างการสื่อสาร
4. openssh ที่ใช้ในการติดตั้ง คือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ แบบฟรี โดยมีการสื่อสารอยู่บนพื้นฐานของ Protocol SSH

วิธีการติดตั้ง
1. พิมพ์คำสั่งสำหรับติดตั้ง openssh
1
# yum -y install openssh-server openssh-clients

2. หลังจากติดตั้งเสร็จแล้วให้ทำการเปิดการทำงาน (Start the service)
1
2
# chkconfig sshd on
# service sshd start
 
จะได้ผลลัพธ์ประมาณดังภาพ
วิธีการติดตั้ง และใช้งาน SSH บน CentOS - รับทำเว็บไซต์ รับเขียนเว็บไซต์
 
3. ทดลองเชื่อมต่อด้วย Protocol SSH ผ่านโปรแกรม putty โดยทำการเปิดโปรแกรมขึ้นมาจากนั้นกรอก IP Address ของ Server แล้วเลือก Protocol เป็น SSH แล้วกดปุ่ม open (โปรแกรม putty สามารถค้นหา ดาวน์โหลด และติดตั้ง ฟรี จากทาง Google ครับ)
วิธีการติดตั้ง และใช้งาน SSH บน CentOS - รับทำเว็บไซต์ รับเขียนเว็บไซต์
 
 
4. กรอกชื่อผู้เข้าใช้ และรหัสผ่าน เพื่อเริ่มต้นทำงานผ่านการสื่อสาร Protocol SSH
วิธีการติดตั้ง และใช้งาน SSH บน CentOS - รับทำเว็บไซต์ รับเขียนเว็บไซต์

วิธีติดตั้ง SSH บน Ubuntu

SSH คือ Secure Socket Shell เป็นคำสั่งบนพื้นฐานบน UNIX สำหรับการเข้าถึงคอมพิวเตอร์เครื่องต่าง ๆ (Remote Computer) ซึ่ง SSH โดยส่วนมากแล้วจะถูกนำมาใช้งานโดยผู้ดูแลระบบ (Administrators) สำหรับการเข้าถึงเครื่อง Server เพื่อจัดการ และควบคุมการดำเนินงานต่าง ๆ


SSH ใช้ RSA และ public key ในการเข้ารหัสทั้งการเชื่อมต่อ และการพิสูจน์ตัวตน โดยใช้ Encryption algorithms ต่าง ๆ เช่น Blowfish, DES และ IDEA เป็นต้น

วิธีติดตั้ง SSH บน Ubuntu
1. ติดตั้ง SSH
1
sudo apt-get install openssh-server

2. ตรวจสอบสถานะการทำงานของ ssh 
1
sudo service ssh status

ผลลัพธ์ควรจะได้ดังนี้
1
ssh start/running, process ...

กรณีต้องการเปิดใช้งาน Service ssh 
1
sudo service ssh start

กรณีต้องการปิดใช้งาน Service ssh 
1
sudo service ssh stop

กรณีต้องการ Restart ใช้งาน Service ssh 
1
sudo service ssh restart

3. ทดสอบการเชื่อมต่อไปยังเครื่อง Server
3.1 พิมพ์คำสั่ง ifconfig เพื่อดูหมายเลข IP ของเครื่อง Server
3.2 การทดสอบนี้ใช้ Program PuTTY ในการ Remote Server ใส่หมายเลข IP Address และ Port จากนั้นกดปุ่ม Open

3. กดปุ่ม Yes

4. กรอก Username และ Password แล้วกดปุ่ม Enter หากไม่มีอะไรผิดพลาดจะเข้าสู่หน้าจอเพื่อเริ่มต้นใช้งานเครื่อง Server